เพิ่มประสิทธิภาพของ Docker ให้ก้าวกระโดดแค่ 5 ขั้นตอน
รวม 4 Tool ชั้นดีที่ Docker User ห้ามพลาด
ด้วยข้อดีของเทคโนโลยี Docker Container ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำหรับกลุ่ม Developer และ Operator มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น วันนี้เรามีวิธีการสำหรับการวางแผนสร้าง Docker Container มาด้วยว่าถ้าต้องการให้ Docker ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพนั้นต้องปรับแต่งอย่างไร
Container Technology เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เมื่อกลุ่มผู้สร้าง Application เริ่มเปลี่ยนใจจาก Colocation มาเป็นการใช้บริการ Public Cloud ซึ่งบริการคลาวด์ของแต่ละค่าย มีรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีความจำเป็นจะต้องออกแบบเพื่อให้เหมาะสม แต่ในทางกลับกันเมื่อมี Docker Container เข้ามาช่วย คุณจะสามารถที่จะพัฒนา Application และขึ้น Production กับผู้ให้บริการ Public Cloud รายใดก็ได้ ที่มี Container Technology Support ซึ่งคุณสามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้อง
1. แยกส่วนการปรับแต่ง : เพราะโปรแกรมแต่ละตัวจะมีความซับซ้อนและมี Component ที่แตกต่างกันพอควร แต่ก็ต้องอิงกับ Middleware service กับส่วนอื่นๆ อีกเล็กน้อย วิธีการก็คือเราแยก Service ออกเป็นส่วน ๆ ให้อยู่แยกกันในแต่ละ Container เพื่อลดความซับซ้อนและ Scale ได้สะดวกขึ้น และลดความซับซ้อนตอน Manage การทำงานของระบบด้วย
2. เลือก Based Image : Based Image สำหรับ Docker เป็นเรื่องสำคัญเพราะมีผลต่อ Application ที่รันการทำงานด้วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นให้เริ่มต้นดูจาก Docker Registry เป็นอันดับแรกแล้วค่อยเลือก Image ที่จะนำมาใช้งานต่อไป
3. วางระบบรักษาความปลอดภัยและ Governance : การวางระบบ Security กับ Governance ของ Docker เป็นขั้นตอนแรก ๆ ที่ต้องทำเพื่อจะได้ปรับให้ Application เข้ากับ Security และ Governance จะทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้ด้านการอัพเดท Application ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดก็สำคัญมากเช่นกัน
4. เติม Code เข้าระบบ : หลังจากขั้นตอนของ Image แล้วก็เป็นขั้นตอนการใช้ Dockerfile เพื่อจัดการเรื่อง Coding ที่เป็นส่วนสำคัญทีเดียว และถ้าต้องการอัพโหลดขึ้น Docker Hub ก็สามารถทำได้หลังเสร็จขั้นตอนนี้
5. ตั้งค่า, ทดสอบ, Deploy : เริ่มต้นที่ตั้งค่าการทำงานให้เข้ากับการใช้งานแล้วทดสอบว่า Application สามารถ Scale การทำงานและผสานงานกับ Docker Swarm และ Cluster manager อื่น ๆ ได้หรือไม่และมีประสิทธิภาพสูงหรือไม่ จากนั้นเริ่ม Deploy ลงไปใน Production แล้วเพิ่มส่วนของ Monitoring และ Management เข้าไปด้วย จะทำให้เราสามารถเช็คการทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งถ้ามีปัญหาการทำงานส่วนไหน เราก็สามารถนำกลับมาปรับแต่งได้ในภายหลังนั่นเอง
We—as a team of Thai people—are assured that Thai cloud is the absolute answer for driving your business in the digital era.